ขอใบอนุญาตธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

ตารางคอนเทนต์

ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านโลจิสติกส์และการบริการได้ที่นี่!

เวลาในการอ่าน: 2 นาที

ตั้งแต่มีการระบาดของไวรัส Covid-19 กลไกธุรกิจทั่วโลกก็เปลี่ยนไป ทุกวันนี้ผู้คนใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมากกว่าหน้าร้านเนื่องจากได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่า

หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินสำนวนนี้ “Hit the iron why it’s not.” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า ให้ตีเหล็กในขณะที่หม้อยังร้อนอยู่ สำนวนนี้สามารถนำมาใช้ได้หากคุณอยากจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าในเมืองไทย เพราะประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 26 มีรายได้ประมาณ 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ 2021 ถึงสิ้นปี 2022 ซึ่งรายได้เพิ่มขึ้นมากถึง 13% เลยทีเดียว

แล้วจะขายของออนไลน์ในเมื่อไทยอย่างไรดีหล่ะ? 

การขายของออนไลน์ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากการขายหน้าร้าน ผู้ขายจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคเสียก่อน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สินค้าที่พวกเขาสนใจเท่านั้น แต่คุณจะต้องศึกษา…

  • ข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ เขตที่อยู่อาศัย ช่วงวัย เป็นต้น 
  • ข้อมูลทางด้านพฤติกรรมการใช้เครื่องมือสื่อสาร สื่อ โซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ 
  • ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่ิตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

นอกจากนี้ จากการสำรวจพบว่า 34.5% ของผู้บริโภคคนไทยอัปเดตรหัสผ่านและใช้รหัส OTP ในการช้อปปิ้งออนไลน์ และนี่ก็คือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง นั่นก็คือความปลอดภัยของผู้บริโภค

การทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ตลอดจนทำให้เกิดการซื้อสินค้า คุณสามารถสร้างคอนเทนท์บนโซเชียลมีเดีย อีเมล และสร้างบทความที่เกี่ยวข้องบน Google ได้ 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่คุณต้องทำก็คือ จัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าปลายทางตรงเวลาและปลอดภัย ถ้าหากมีบริการจัดส่งฟรี ผู้คนสนใจแน่นอน 

ข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย 

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้รับการคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETA)  ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เราสามารถใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินธุรกิจออนไลน์ที่ให้บริการทั้งสินค้าและบริการผ่านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ขัดต่อข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ 

หากคุณเปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย มีเว็บไซต์สำหรับขายสินค้าและบริการหนึ่งเว็บไซต์หรือมากกว่านั้น คุณจำเป็นต้องมีใบอนุญาตเพื่อดำเนินธุรกิจ และปฏิบัติตามข้อกำหนด ดังต่อไปนี้ 

  • คุณต้องสมัครขอใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มธุรกิจ
  • ในระหว่างการดำเนินการ ให้กรอกข้อกำหนดการชำระเงินและกำหนดราคาให้เรียบร้อย 
  • ชื่อเว็บไซต์ควรสอดคล้องกับตัวสินค้าและบริการ 
  • การสมัครขอใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ควรทำภายใน 30 วันนับจากวันเริ่มต้นของเว็บไซต์
  • จากนั้นเลือกวิธีการชำระเงิน
  • ส่งเอกสารการจดทะเบียนชื่อโดเมนพร้อมกับใบสมัคร
  • องค์กรที่รับผิดชอบในการทำธุรกรรมบัตรเครดิตควรปฏิบัติตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย

หากคุณมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ จะต้องลงทะเบียนภายใต้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค 

A. มีการโอนเงินมากกว่า 3,000 รายการใน 1 ปี

B. ถ้ามีการโอนเงิน 400 ราการใน 1 ปี จะได้ 2 ล้าน

กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?

หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมีกฏหมายสำหรับการเปิดกิจการอีคอมเมิร์ซด้วยหล่ะ วัตถุประสงค์ของการออกข้อบังคับมีดังต่อไปนี้… 

  • เพื่อพัฒนาผลประโยชน์ทางการเงิน การเมือง และสังคมในประเทศ
  • เพื่อกำหนดการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด
  • เพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการค้าและการพาณิชย์ของประเทศ
  • เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย 

เพื่อให้การดำเนินการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็นไปอย่างมั่นคงและราบรื่น รัฐบาลได้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาคธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2 ฉบับ มีดังนี้

พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544

พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 เป็นกฎหมายกลางที่รองรับสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย 

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อย่างเข้มงวด ซึ่งประกอบด้วยความผิด 3 ประเภท ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือที่ใช้ในการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 

แต่ก็มีบทบัญญัติทางกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายคุ้มครองข้อมูล และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค 

วิธีการจดทะเบียนธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย 

ขั้นตอนการจดทะเบียนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีดังนี้: 

ขั้นตอนที่ 1 : ศึกษากิจกรรมต่างๆ ด้ายอีคอมเมิร์ซ 

กิจกรรมด้านอีคอมเมิร์ซแบ่ง drop shipping หรือที่เรียกว่า การนำสินค้าของคนอื่นมาขายผ่านช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) และสามารถบวกกำไรเพิ่มได้ และ หรือเปิดแบรนด์ของตนเองในช่องทางอีคอมเมิร์ซ หากขายสินค้าต่างชนิด ก็ต้องมีใบอนุญาติที่แตกต่างกัน แนะนำให้ติดต่อสำนักงานกฏหมายเพื่อขอคำแนะนำ

ขั้นตอนที่ 2 : ปฏิบัติตามข้อกฏหมายเพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ถูกต้อง 

สำหรับการจดทะเบียนชื่อโดเมนของเว็บไซต์ แนะนำให้ปรึกษาศูนย์ข้อมูลเครือข่ายไทย (THNIC)   เพื่อที่จะได้นามสกุล .co.th จะต้องเตรียมเอกสารยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ดังนี้… 

  • ใบรับรองการลงทะเบียน
  • เอกสารการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • เอกสารคำขอแก้ไขภาษีมูลค่าเพิ่ม

แม้ว่าการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะไม่บังคับในอีคอมเมิร์ซประเทศไทย แต่การมีเครื่องหมายการค้าหรือเอกสารรับรองก็จะช่วยปกป้องแบรนด์ของคุณจากการถูกล่วงละเมิด ในการจดทะเบียนขอเครื่องหมายการค้า จะต้องมีเอกสารของโลโก้ที่ได้ออกแบบด้วยสีที่แน่นอน หนังสือมอบอำนาจที่มีการรับรอง และสำเนาหนังสือเดินทางของคุณที่รับรองโดยกรรมการผู้มีอำนาจ

ขั้นตอนที่ 3: ทราบเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และสิ่งจูงใจของใบอนุญาต BOI และ FBL

ตามกฎหมาย ทุกบริษัทต้องมีผู้ถือหุ้นชาวไทยที่ถือหุ้น 51% หรือผู้ถือหุ้นที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2525 อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติยังสามารถจัดตั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้ แต่ต้องได้รับใบอนุญาติจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI ) เสียก่อน 

ขั้นตอนที่ 4: การลงทะเบียนขั้นสุดท้าย

คุณต้องจดทะเบียนบริษัทต่อหน้ากรมพัฒนาธุรกิจการค้าของประเทศไทย เมื่อกรรมการเสร็จสิ้นการประชุมตามกฎหมาย คุณมีเวลา 3 เดือนในการจดทะเบียนบริษัทของคุณ การประชุมตามกฎหมายเป็นโมฆะหากเกินกำหนด 

องค์ประกอบสำคัญในการสร้างธุรกิจมีอะไรบ้าง ไปดูกัน! 

  • แต่งตั้งกรรมการอย่างน้อย 1 คน
  • กำหนดส่วนแบ่งทุนของบริษัท
  • มีออฟฟิสที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
  • มีผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 3 คนเพื่อสร้างบริษัทจำกัด

ขั้นตอนที่ 5: การยื่นขอวีซ่า

หากคุณเป็นชาวต่างชาติและต้องการเปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย คุณต้องได้รับวีซ่าสำหรับทำงาน 1 ปี แนะนำให้ยื่นขอวีซ่าชั่วคราวก่อนที่จะก้าวเข้ามาในประเทศไทย นอกจากนี้ 

ยื่นขอวีซ่าสำหรับทำงานได้ที่ไหน? 

ยื่นคำร้องได้ที่กรมอนุญาตชาวต่างชาติภายใต้กระทรวงพาณิชย์ในประเทศไทย นอกจากนี้คุณจะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 2 ล้านบาทในการจดทะเบียนบริษัท เมื่อได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ หรือ Foreign Business Licenses ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น 

ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง? 

สำหรับการจดทะเบียนใบอนุญาต เอกสารที่ต้องยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีดังนี้

  • ใบสมัครลงทะเบียนอีคอมเมิร์ซ
  • บัตรประชาชน 
  • หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาตัวจริง
  • จดหมายชี้แจงหากคุณลงทะเบียนล่าช้า

ภาษีที่เกี่ยวข้อง

การตั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ย่อมมีเรื่องภาษีตามมา ซึ่งมันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ภาษษที่เรียกจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย! 

  • ในประเทศไทย อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นศูนย์สำหรับการส่งออกและนำเข้าบริการและสินค้า
  • ตามกฎหมายภาษีธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย ผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่างประเทศทุกรายจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับกรมสรรพากรของประเทศไทย
  • หากธุรกิจออนไลน์ของคุณมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.8 ล้านบาท คุณต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

บทสรุป 

กล่าวโดยสรุป เมืองไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจประเทศหนึ่งสำหรับการค้าขายออนไลน์ แต่ทุกๆ อย่างต้องเป็นไป ตามกฏหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่เราได้กล่าวไปข้างต้น เมื่อคุณยื่นเอกสารและได้รับใบอนุญาติประกอบกิจการอีคอมเมิร์ซเป็นที่เรียบร้อย คุณก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและไม่ขัดกับกฏหมาย หากคุณมีข้อสงสัยหรือติดขัดในกระบวนการใด แนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากสำนักงานกฏหมายที่มีชื่อเสียง ไว้ใจได้ และทำงานเป็นมืออาชีพ 

ทดลองเปิดประสบการณ์ Fulfillment กับ Locad

สร้างธุรกิจให้เติบโตได้ด้วยระบบ Fulfillment ที่ใช้ง่าย และจัดการให้คุณอัตโนมัติจาก Locad

  • คลังเก็บสินค้าไม่จำกัด และขยายได้
  • จ่ายเท่าที่คุณจัดเก็บ
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง ไม่กำหนดระยะเวลา
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าร่วมหรือแลกเข้า
  • รวบรวมมาร์เก็ตเพลส
  • จัดการ และจัดส่งสินค้าอัตโนมัติ

ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านโลจิสติกส์และการบริการได้ที่นี่!

Don't miss out on the latest news!

Get the latest industry news, best practices, and product updates!

Exclusive benefits to ace your e-commerce game this 2023 with Locad’s desk calendar!