อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยสร้างรายได้มหาศาลมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับทุกประเทศใน APAC อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และมีบริษัทใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้ประกอบการหลายๆ เจ้าต้องการขยายกิจการของตนตนเองโดยการตีตลาดในประเทศไทย
แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางใหม่ในการกระจายสินค้าและบริการไปทั่วโลก เพราะผู้คนนิยมช้อปปิ้งออนไลน์ และที่สำคัญคือ ราคาถูกกว่า เข้าถึงง่ายด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว มีสินค้าหลากหลาย บริการจัดส่งฟรี แถมยังดูแลลูกค้าดีอีกด้วย และนี่ก็คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ลูกค้าในประเทศไทยเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ
การจัดตั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ก็ถือว่าไม่ใช่ว่ามีเงินทุนมาเปิดกิจการและจะสร้างยอดขายได้พุ่งกระฉูด คุณจะต้องศึกษาและวางแผนมากกว่านั้น วันนี้ Locad Thailand ขอมีข้อควรปฏิบัติสำหรับใครที่กำลังมองหาช่องทางเพื่อตีตลาดในประเทศไทย
หาพื้นที่เพื่อเจาะตลาด
- การหาช่องทางในการขายสินค้า : ให้ตั้งคำถามกับตนเองว่า ขายอะไร? เป็นที่ต้องการของคนในประเทศนี้หรือไม่? มีกี่บริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์แบบนี้แล้ว? และคำถามอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้คน : ดูสิว่าพวกเขาต้องการอะไรในตลาดอีคอมเมิร์ซ ช่องทางไหนบ้างที่พวกเขาจะเห็นแบรนด์และสินค้าของคุณได้ อะไรคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน รวมทถึงความต้องการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเมื่อมาซื้อสินค้าจากคุณ และนี่ก็เป็นการหากลุ่มลูกค้าให้กับสินค้าและธุรกิจของคุณนั่นเอง
- การเข้าถึงช่องทางการขาย และการจัดส่ง : หลังจากเจาะตลาดได้แล้ว ลองคิดดูว่าคุณจะจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าอย่างไร ทำให้ลูกค้าเข้ามาซื้อของผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นได้อย่างไร พวกเขาจะชำระเงินผ่านช่องทางไหนได้บ้าง แ
ตั้งชื่อแบรนด์ให้เป็นเอกลักษณ์
เลือกชื่อธุรกิจที่ไม่ซ้ำใคร เป็นชื่อที่ควรบ่งบอกถึงธุรกิจและควบคุมถึงสินค้าทั้งหมด ตั้งชื่อโดเมนที่ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่น เมื่อคุณเลือกชื่อเฉพาะได้แล้ว แนะนำให้จดลิขสิทธิ์ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้จดทะเบียนเป็นชื่อบริษัทได้
เรียนรู้คำศัพท์บนโลกอีคอมเมิร์ซกันเถอะ
ในตลาดอีคอมเมิร์ซ มีคำศัพท์มากมายที่ผู้ประกอบการควรรู้ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปชมกันเลย!
- Accurate information : เป็นข้อมูลประกอบสินค้าและแบรนด์ท ซึ่งจะปรากฏบนเว็ปไซต์หรือแอพพลิเคชั่น ที่ลูกค้าควรรับรู้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยขจัดความสับสนของลูกค้า จากการสำรวจ พบว่า 54% ของลูกค้าส่งสินค้าคืนเนื่องจากพวกเขาไม่พอใจในตัวสินค้า
- Terms of Sale: เงื่อนไขในการขายของ คุณต้องระบุอายุการใช้งานของสินค้านั้นๆ หรือข้อควรระวัง เช่น สินค้าประเภทนี้ไม่ควรให้เด็กสำผัส เป็นต้น
- Mode of payments หรือ วิธีการชำระเงิน: ในประเทศไทยมีวิธีการชำระเงินเพียงสองวิธีเท่านั้นก็คือ การโอนเงินผ่านธนาคาร และการจ่ายเงินสด เนื่องจากคนไทยมรการเข้าถึงบัตรเครดิตต่ำ ดังนั้นแนะนำให้ ระบุตัวเลือกการชำระเงินเหล่านี้อย่างชัดเจนบนเว็บไซต์ของคุณ
- Shipping & Delivery: ตั้งค่าเวลาที่คาดว่าของจะส่งถึงมือลูกค้า หากเป็นไปได้ให้จ้างบริษัทขนส่ง (3PL) เพื่อการจัดส่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พบว่า 45% ของลูกค้าเปลี่ยนใจไม่ซื้อของจากร้านค้านั้นๆ เพราะบริการจัดส่งที่ราคาแพง หรือไม่น่าพึงพอใจ ดังนั้นวางแผนการจัดส่งสินค้าให้รอบคอบ
- ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property): ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คุณต้องสร้างชื่อหรือโลโก้.ให้ไม่ซ้ำใคร หากเป็นไปได้แนะนำให้ไปจดลิขสิทธิ์ด้วย
การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาจะช่วยคุณสงวนสิทธิ์ทั้งหมดของแบรนด์ ทั้งชื่อ โลโก้ ตัวสินค้า และอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิกลิขสิทธิ์ เอกสารที่คุณจะต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้…
1. โลโก้ของเครื่องหมายการค้า
2. สำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
3. สำเนาหนังสือรับรองบริษัทของผู้สมัครหากอยู่ต่างประเทศ และสำเนาหนังสือรับรองบริษัทฉบับจริงในกรณีที่เป็นบริษัทไทย
4. หนังสือมอบอำนาจที่ลงนามแล้ว (ควรมีการรับรองหากลงนามจากต่างประเทศ)
- Disclaimer of Liability : เป็นการชี้แจงเมื่อเกิดเสียหาย ให้ระบุในรายละเอียดว่าบริษัทต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร
- External Links: เป็นลิงค์ที่นำลูกค้าออกไปหน้าเว็บไซต์อื่น สร้างการแจ้งเตือนลูกค้าบนเว็บไซต์ก่อนเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อให้ลูกค้าของคุณสามารถตัดสินใจได้ว่าต้องการซื้อสินค้าต่อหรือไม่
ตีตลาดให้แตกและศึกษาคู่แข่ง
ประเทศไทยมีช่องทางออนไลน์ 4 ประเภทหลักๆ
- E-marketplace– สถานที่ที่ผู้ซื้อสามารถค้นหาสินค้าได้หลากหลายบนเว็บไซต์ เช่น Lazada, Shopee, 11Street, Looksi และอื่น ๆ อีกมากมาย
- Brand Webstore- ช่องทางที่ลูกค้าซื้อสินค้าโดยตรงได้จากเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้คุณเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ และนำไปใช้กับวิเคราะห์การตลาดได้ในอนาคต
- E-retailer- แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับผู้ค้าปลีก ต่างจาก E-marketplace ตรงที่อนุญาตให้บุคคลที่สาม เช่น เทสโก้โลตัส โรบินสัน และอื่น ๆ อีกมากมายมาขายสินค้าในตลาดแห่งนี้ได้
- โซเชียลมีเดีย- การขายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram และ LINE
สิ่งที่ต้องระวังก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ได้แก่
- แนวโน้มการตลาดที่พื้นที่นั้นๆ
- กลุ่มเป้าหมายของคุณ
- กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมหน้าร้านของคุณ
- การโฆษณาที่มีประสิทธิภาพและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
จากนั้นก็ถึงเวลาหาว่าใครคือคู่แข่งของคุณในตลาด ศึกษาและวิเคราห์ว่าพวกเขาทำอะไร มีแผนธุรกิจและการตลาดอย่างไร เพื่อนำมา หาจุดด้วยของแบรนด์ตัวเองและปรับใช้กับแรนด์ตัวเอง
สร้างแผนธุรกิจและการตลาด
การทำการตลาดเพื่อโปรโมทแบรนด์และสินค้ามีอยู่หลายวิธี คุณสามารถสร้างการรับรู้ด้วยสื่อและโซเชียล
ทีเดียที่อยู่ในมือ และใช้เครื่องมือ เช่น Google Ads โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย หรือส่งให้อินฟลูเอ็นเซอร์รีวิว ในส่วนของเว็บไซต์ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ช่วยสร้างการรับรู้และเป็นประโยชน์
เมื่อลูกค้าต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์ของคุณ
ในการจัดตั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คุณจะต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ธพ.) ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เอกสารดังต่อไปนี้…
- เอกสานขอจดทะเบียนพาณิชย์
- สำเนาทะเบียนการค้าและบัตรประจำตัวประชาชนของหุ้นส่วนผู้จัดการหรือคณะกรรมการผู้มีอำนาจของคุณ
- สำเนาบัตรประจำตัวผู้จัดการหรือหุ้นส่วน (กรณีบุคคลธรรมดา)
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
นอกจากนี้ ชื่อกิจการของคุณ และชื่อโดเมนบนเว็บไซต์จะต้องไม่ซ้ำใคร ส่งรายละเอียดเว็บไซต์พื้นฐาน แบบฟอร์มการจดทะเบียนพาณิชย์ พร้อมนำชื่อโดเมนไปจดทะเบียนกับมูลนิธิศูนย์ข้อมูลเครือข่ายเธาว์ (THNIC) เจ้าของบริษัทมีสิทธิ์เลือกใช้เครื่องหมายการค้าภายใต้ชื่อบริษัท ซึ่งหมายถึงการสงวนสิทธิ์ให้กับตนเอง
ในจดทะเบียนชื่อโดเมน (นามสกุล .co.th) คุณจะต้องมีเอกสารดังต่อไปนี้
- ใบรับรองการลงทะเบียน
- เอกสารการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- เอกสารขอแก้ไขภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งขึ้นตอนนี้จะใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ในการทำการ นับตั้งแต่วันที่เริ่มยื่นเอกสาร
สิทธิ์และใบอนุญาตที่จำเป็นต้องมีเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
เมื่อคุณได้เริ่มดำเนินกิจการในประเทศแล้ว สิ่งที่ต้องมีคือใบอนุญาตอีคอมเมิร์ซแบบพิเศษที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือ DBD ภายในระยะเวลา 30 วัน ใบอนุญาตอีคอมเมิร์ซนี้จำเป็นหากคุณมีเว็บไซต์ที่ขายสินค้าและบริการในประเทศไทยตั้งแต่หนึ่งเว็บไซต์ขึ้นไป
แต่…ช้าก่อน แม้ว่าคุณจะมีร้านค้าอีคอมเมิร์บโซเชียลมีเดีย คุณก็ยังต้องใช้ใบอนุญาตนี้ ซึ่งโดยทั่วไปใบอนุญาตจะมีราคา 9,500 บาท
ในการยื่นขอใบอนุญาตบริษัทอีคอมเมิร์ซ มีข้อปฏิบัติตามดังต่อไปนี้…
- ตั้งชื่อเว็บไซต์
- บอกลักษณะของสินค้าและบริการที่ขายบนเว็บไซต์
- ระบะวันที่คุณจะเปิดใช้งานเว็บไซต์
- ระบุวิธีการชำระเงินสำหรับลูกค้า
- เอกสารยืนยันการจดทะเบียนชื่อโดเมนหรือใบรับรองจากผู้ให้บริการ (ISP หรือโฮสต์เว็บ)
หากคุณต้องการให้ลูกค้าชำระเงินด้วยบัตรเครดิต คุณจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
ใบอนุญาตนำเข้า
สำหรับสินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ สามารถนำเข้ามาในประเทศไทยได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ แต่สำหรับสินค้าบางอย่าง เช่น ยา อาหารและผลิตภัณฑ์เสริม พืชและสัตว์ป่า โบราณวัตถุ และสิ่งของตามธรรมชาติ
ต้องขออนุญาตและออกใบอนุญาตก่อน
สำหรับสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตที่กล่าวไปข้างต้น แต่ละชนิดก็มีองค์กรเฉพาะทางที่แตกต่างกันออกไปช่วยดูแล ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้ายาหรืออาหารต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นต้น
บริษัทที่ให้บริการด้านคลังสินค้าและโลจิสติกส์ช่วยธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้
หากคุณพึ่งเริ่มเข้ามาตีตลาดในประเทศไทย และต้องการเครือข่ายธุรกิจด้านคลังสินค้าและโลจิสติกส์ที่น่าเชื่อถือ และสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าของคุณได้ง่ายขึ้น กลไกด้านคลังสินค้าและโลจิสติกส์จากภายนอกองค์กรจึงตอบโจทย์ Locad เป็นหนึ่งในบริการเก็บ-แพ็ค-ส่งแบบครบวงจร เรามีคลังสินค้าที่ยืดหยุ่น เราหยิบและแพ็คสินค้าได้ภายในวัน เดียว แบรนด์ที่มาใช้บริการของเราจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการขายสินค้าเชิงลึกแบบเรียลไทม์
บทสรุป
เป็นอย่างไรกันบ้าง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังเริ่มขยายธุรกิจและตีตลาดในประเทศไทย ขั้นตอนต่อไปของคุณคือการประเมินความสนใจในตลาดและวางตำแหน่งธุรกิจ