คำว่า Work-in-process inventory ถูกนำมาใช้ในการผลิตสินค้าและการจัดการซัพพลายเชนในธุรกิจ โดยสื่อถึงสินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต ผลิตแล้ว แต่ยังไม่ครบทุกขั้นตอนการผลิต และคำๆ นี้ก็ยังรวมถึงแรงงาน วัตถุดิบ ส่วนประกอบ ต้นทุนในการดำเนินงานผลิต และอื่นๆ อีกมากมาย
มาทำความเข้ากับ “สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต” กันเถอะ
สินค้าค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต หรือ Work-in-process inventory (WIP) เป็รคำที่ใช้สื่อถือความเคลื่อนไหวของต้นทุนการผลิตไปสู่ขั้นตอนถัดไป โดยจะรวมต้นทุนการผลิตทั้งหมดของขั้นตอนการผลิตสินค้า ทั้งสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วและยังไม่เสร็จ ต้นทุนการผลิตก็จะประกอบไปด้วยแรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผลิตสินค้าทั้งหมด
การจัดการสต๊อกจะมีการผสมผสานระหว่างแรงงานคน แรงงานเครื่องจักร และระบบจัดการสินค้าคงคลังแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีทีมงานที่ช่วยตรวจสอบความเรียบของกระบวนการผลิตสินค้า ว่าสินค้าได้ผลิตเสร็จสิ้นหรือยัง อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจของคุณมีเงินทุนเพียงพอที่จะติดตั้งนวัตกรรมเพื่อย่นระยะเวลาในการเช็คความสมบูรณ์แบบของกระบวนการผลิต ก็จะทำให้สินค้าถูกส่งเข้าคลัง และดำเนินการต่อในขั้นตอนถัดไปได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง
สิ่งจำเป็นของผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียของธุรกิจ คือ คุณจะต้องคำนวณงบประมาณ และหากลยุทธ์ในการจัดการสต๊อกสินค้าที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ
สินค้าคงคลังระหว่างการผลิต เป็นสินทรัพย์ของธุรกิจคุณที่จำเป็นต้องสร้างความสมดุล ควบคุมปริมาณไม่ให้มีมากจนเกินเกณฑ์มาตรฐาน นักบัญชีจะทำหน้าที่คิดคำนวณสินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต รวมถึงต้นทุนของวัตถุดิบ และค่าแรงงานต่างๆ ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์นั่นเอง
ข้อเสียของศูนย์กระจายสินค้า
ควบคุมการสื่อสารได้ไม่ดี
การมีศูนย์กระจายสินค้าทำให้แหล่งผลิตไม่สามารถสื่อสารกับลูกค้าปลายทางได้โดยตรง ส่งผลให้ไม่เข้าใจวิธีการเพิ่มยอดขายสินค้า
สูญเสียรายได้
ผู้ผลิตสินค้าไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าปลายทางโดยตรง แต่ขายผ่านพ่อค้ายคนกลางหรือผู้ค้าปลีก และพวกเขาก็จะนำสินค้าไปจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าอีกทอดหนึ่ง ซึ่งทำให้ธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ สูญเสียรายได้นั่นเอง
แล้วทำไมต้องมีสินค้าคงคลังระหว่างผลิตด้วยหล่ะ?
มีหลายเหตุผลว่าทำไมเราต้องมีสินค้าคงคลังระหว่างผลิต หรือสินค้าที่ยังไม่ผลิตไม่เสร็จ หนึ่งในคำตอบก็คือ มีวัตถุดิบในกระบวนการผลิตที่เข้าแถวรอการดำเนินการอยู่นั่นเอง
เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ ธุรกิจบางแหล่งจะสำรองสินค้าที่ยังผลิตไม่เสร็จไว้ในคลัง เผื่อภาวะฉุกเฉินหรือขาดแคลนสินค้ากระทันหันนั่นเอง หรือที่ทางเศรษฐศาสตร์เขาเรียกกันว่า สภาวะที่อุปสงค์พุ่งสูงขึ้นหรือขาดแคลนในอุปทานนั่นเอง
Work-in-progress vs. Work-in-process
Work-in-process inventory (WIP) หรือ Goods-in-process กล่าวถึงสินค้าที่ยังผลิตไม่สำเร็จสมบูรณ์ อาจจะหลงเหลือบางขั้นตอนของการผลิต หรือจะเรียกว่า “สินค้าระหว่างผลิต” ก็ได้เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจบางท่านได้นิยามความหมายของคำๆ นี้ไว้ว่า เป็นสินค้าที่เคลื่อนย้ายไปจากเป็นวัตถุดิบไปสู่สินค้าสำเร็จรูปในช่วงเวลาสั้นๆ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ A ที่ผลิตขึ้นมา แต่ยังไม่ได้ผ่านการตกแต่งหรือปรับปรุงเพื่อเป็นสินค้าสำเร็จรูป เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่าง Work-in-progress vs. Finished Goods
ความสามารถในการขายสินค้า (Saleability) เป็นปัจจัยหลักที่ใช้ในการแยกแยะระหว่าง สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิตกับสินค้าสำเร็จรูป ดังนั้นความแตกต่างระหว่างสองคำนี้จะเน้นไปที่ขั้นตอนการผลิตของสินค้านั้นๆ สินค้าสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่พร้อมขาย ในขณะที่สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิตส่วนมากจะไม่สามารถขายได้นั่นเอง
สินค้าที่ยังผลิตไม่สำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิต และอยู่ในช่วงกลางระหว่างวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป โดยเริ่มต้นจากวัตถุดิบและผ่านกระบวนการผลิตจนกลายมาเป็นสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจะดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ เช่น การประกอบชิ้นส่วน การติดตั้ง การทดสอบ และอื่นๆ ส่วนสินค้าสำเร็จรูปจะเป็นสินค้าที่ผ่านกระบวนการผลิตจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว และพร้อมที่จะจำหน่ายให้กับลูกค้า สินค้าสำเร็จรูปจะผลิตเพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า
คำว่า สินค้าสำเร็จรูป (Finished goods) และ สินค้าที่อยู่ในระหว่างรอการผลิต (Work-in-progress goods) เป็นคำที่ใช้ในการทำบัญชีสินค้าในขั้นต่างๆ เพื่อทำให้ง่ายต่อการจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้สินค้าคงคลังทั้งสองชนิดของแต่ละแบรนด์ก็อาจจะไม่เหมือนกัน สินค้าที่ยังผลิตไม่สำเร็จของธุรกิจบางแห่งก็อาจจะนำมาวางจำหน่ายได้
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น สินค้าคงคลังทั้ง 2 ชนิดจะเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า สินค้าที่อยู่ในระหว่างรอการผลิตจะกลายมาเป็นสินค้าสำเร็จรูปในท้ายที่สุด ซึ่งถือว่าสิ้นสุดขั้นตอนการผลิตสินค้า พร้อมส่งมอบหน้าที่ให้กับกระบวนการถัดไปนั่นเอง
ตัวอย่าง สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต (Work-in-process Inventory)
นี่ก็คือตัวอย่างของ สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต ที่พบบ่อยที่สุด จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปชมกันเลย!
ตัวอย่างที่ 1
ยกตัวอย่างให้เห็ยภาพง่ายๆ เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และกัน ซึ่งธุรกิจรถยนต์จะมีสถานีทำการหลายแห่งสำหรับการปฏิบัติการต่างๆ เพื่อให้เสร็จสิ้นกระบวนการผลิต พร้อมทั้งทาสีรถยนตร์ โดยท้ายที่สุดรถจะถูกส่งไปยังคลังสินค้า คุณก็จะเห็นต้นทุนและค่าใช้จ่ายโดยรวมประกอบการผลิตรถยนตร์นด้วย
ตัวอย่างที่ 2
พิจารณาตัวอย่างของบริษัทผู้ผลิต Software widgets พวกเขาจะผลิตรูปแบบของโปรแกรมประยุกต์หนึ่งที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้แบบเวลาจริงบนระบบปฏิบัติการของมือถือสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพียงสัปดาห์ละ 1 ชิ้นงาน แต่พอสิ้นเดือนบริษัทจะทำการบันทึกจำนวนสินค้าที่มีในคลังสินค้า แต่กลับพบว่ามีสินค้าจำนวนเพียง 10,000 ชิ้นเท่านั้นในบัญชี พวกเขาจึงทำการบันทึกสินค้าที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ให้อยู่ภายใต้ทรัพยากรในเงินทุนของธุรกิจนั่นเอง
ความหมายทางบัญชีของสินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต
คำว่า Work-in-process inventory ในทางบัญชีหมายถึง สินค้าที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ของซัพพลายเชน หรือสินค้าที่อยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยที่มีการเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตอยู่ เช่น การซื้อวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าน้ำมันเครื่อง ค่าไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า สินค้าชนิดนี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพที่เพียงพอเพื่อเป็นสินค้าสำเร็จรูป แต่ก็ได้ผ่านการผลิตและเตรียมสำหรับขั้นตอนต่อไปของการผลิตสินค้า ดังนั้นสินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิตจึงถือว่าเป็นสินทรัพย์ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า และมักถูกนำไปใช้ในการคำนวณต้นทุนผลิตของสินค้าสำเร็จรูป เพื่อทำบัญชีสินค้าคงเหลือของบริษัท
สูตรคิดคำนวณ สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต (WIP)
สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิตถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งของธุรกิจที่จะปรากฏอยู่ในงบการเงิน เช่นเดียวกับกับวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป การคิดคำนวณมูลค่าของสินค้าคงคลังชนิดนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีรายการที่เกี่ยวข้องอยู่หลายรายการ ดังนั้นคุณควรที่จำทำความเข้าใจคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องซะก่อน ที่จะเริ่มคิดคำนวณมูลค่าของสินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต
ต้นทุนของสินค้าคงค้างระหว่างการผลิต (Beginning work-in-process inventory cost)
ต้นทุนของสินค้าคงค้างระหว่างการผลิต (Beginning work-in-process inventory cost) หมายถึง ต้นทุนของสินค้าที่อยู่ในกระบวนการผลิตและยังไม่เสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่ม คุณจึงต้องรวมต้นทุนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อให้ได้ราคาทุนที่ถูกต้องของสินค้าที่ยังไม่เสร็จผลิตไม่เสร็จสมบูรณ์นั้นเอง
ค่าใช้จ่ายการผลิตสินค้า
ต้นทุนการผลิตจะรวมถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตจนถึงการสิ้นสุดของสินค้าสำเร็จรูปซึ่งค่าใช้จ่ายจะครอบคลุมตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงต้นทุนการผลิต (ค่าโสหุ้ย) และค่าแรงงาน, ระยะเวลาและจำนวนขั้นตอนก็มีผลกับต้นทุนการผลิตทั้งสิ้น คำนวณต้นทุน การผลิตสินค้าตามสูตรด้านล่างได้เลย!
ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้า = วัตถุดิบ + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม + ค่าแรงงาน
ต้นทุนของสินค้าที่ผลิต
ต้นทุนของสินค้าที่ผลิต หรือ The cost of goods manufactured (COGM) เป็นการคิดคำนวณราคารวมทั้งหมดที่คุณได้ใช้จ่ายเพื่อผลิตสินค้าสำเร็จรูป หากต้องการคำนวณมูลค่าของสินค้าคงคลังที่อยู่ในระหว่างการผลิตปัจจุบัน คุณต้องทราบ COGM ซะก่อน ให้ลิสต์ค่าใช้จ่ายในการผลิตทั้งหมด รวมกับสต๊อกวัตถุดิบของคุณ จากนั้นค่อยหักค่าใช้จ่ายในการผลิตที่เหลืออยู่ในสต็อกเพื่อหาค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้าสำเร็จรูปนั่นเอง
คุณสามารถคำนวณต้นทุนของสินค้าที่ผลิตตามสูตรด้านล่างได้เลย!
COGM = ต้นทุนการผลิตทั้งหมด + เริ่มต้นสินค้าคงคลัง WIP – สิ้นสุดสินค้าคงคลัง WIP
การคำนวณสินค้าคงคลังในการผลิต
คุณสามารถคำนวณสินค้าคงคลังในการผลิตได้หลายวิธี โดยทั่วไปจะคำนวณจำนวนสินค้าที่ยังไม่ผลิตไม่สมบูรณ์แบบ (WIP) เป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าแรงงานทั้งหมด ค่าใช้จ่ายในการผลิต และค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นในธุรกิจ ตัวอย่างเช่น บริษัทก่อสร้างสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าของพวกเขาได้ขึ้นอยู่กับแต่ละขั้นตอนการดำเนินงาน เช่น การเรียกเก็บเงินเมื่อโครงการเสร็จสิ้น 25% 50% หรือ 75% เป็นต้น
ทำไมการทำบัญชีสินค้าคงคลังที่อยู่ในระหว่างการผลิตที่แม่นยำจึงสำคัญ?
Locad Thailand ได้ลิสต์ประโยชน์ของการทำบัญชีสินค้าคงคลังที่แม่นยำไว้ 7 ข้อ ดังต่อไปนี้
ทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น
การทำบัญชีสินค้าคงคลังที่แม่นยำไม่เพียงช่วยให้คุณวางแผนธุรกิจและกำหนดงบประมาณในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าใจว่ากลยุทธ์ทางการตลาดในปัจจุบันของพวกเขาเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
เพิ่มความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ
ประโยชน์ข้อที่ 2 นั่นก็คือ การทำบัญชีสินค้าคงคลังที่แม่นยำสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณสร้าง รักษา และควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คุณยังสามารถเข้าใจการเงินของธุรกิจ ว่ามีเงินไหลเข้าและออกจากธุรกิจของคุณเท่าไหร่และเวลาใด และสามารถวางแผน เตรียมเงินสำรอง เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคตได้
คุณภาพและประสิทธิภาพ
บัญชีคลังสินค้าที่แม่นยำสามารถช่วยให้คุณวางแผนการจัดการสินค้าคงคลังได้ดีขึ้นเพื่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต คุณสามารถลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการจัดการสินค้าคงคลังที่สูงขึ้น การทำบัญชีคลังสินค้าที่อัพเดทและแม่นยำสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเตรียมพร้อมในการรับโอกาสการลงทุนได้อีกด้วย
ป้องกันการฉ้อโกง
เมื่อคุณติดตามบัญชีคลังสินค้าอย่างใกล้ชิด คุณจะสามารถหาจุดไม่สอดคล้องของค่าใช้จ่าย ต้นทุน และรายได้ของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว หากมีการโกงเกิดขึ้น คุรจะรับรู้ได้ทันที นอกจากนี้ การทำบัญชีคลังสินค้าที่แม่นยำช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและรายได้ต่าง ๆ ที่ไหลเวียนเข้ามาในธุรกิจของคุณได้นั่นเอง
ไม่ว่าขนาดธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ การทุจริตอาจมีผลกระทบต่อชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และฐานลูกค้าของคุณได้ พวกเขาอาจจะสูญเสียความไว้วางใจในแบรนด์ของคุณ และถ้าหากต้องการกอบกู้ชื่อเสียงและความเชื่อใจกลับมา ก็อาจจะต้องใช้เวลาและเผลออาจจะต้องใช้เงินทุนมากกว่าเดิม
ควบคุมงบประมาณ
ทุกๆ ธุรกิจต้องใช้ทรัพยากรเฉพาะของตนเองเพื่อดำเนินงานในด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ มีบัญชีคลังสินค้าที่แม่นยำ ช่วยในการตัดสินใจด้านธุรกิจทั้งหมด พร้อมทั้งเสริมสร้างประสิทธิภาพของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น รันธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น สั่งซื้อสินค้าหรือติดต่อซพพลายเออร์ได้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน
ปลอดภัยยิ่งกว่า
โปรแกรมบัญชีคลาวด์เบสสามารถเก็บข้อมูลของคุณไว้อย่างปลอดภัย และไม่ต้องเสี่ยงต่อเรื่องข้อมูลการเงินสูญหาย คุณสามารถเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์อื่นๆ ได้และมีการรักษาข้อมูลการเงินและบันทึกข้อมูลของคุณอย่างปลอดภัย
จัดการเรื่องการเงินได้ดีกว่าเดิม
ระบบบัญชีสินค้าคงคลังสามารถช่วยคุณสร้าง รักษา และควบคุมงบประมาณ จัดการเรื่องภาษี เป็นโซลูชันที่ปรับให้เหมาะสมของการเงินที่ไหลเวียนเข้าและออกของธุรกิจ รวมไปถึงการออกใบแจ้งหนี้แบบอัตโนมัติ เป็นต้น