มาเริ่มทำความรู้จักกับการเติมเต็มคลังสินค้ากันดีกว่า
ด้วยในปัจจุบันแรงกดดันจากการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสินค้าที่ครบวงจรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีแลปรับปรุงการจัดการคลังสินค้าใหม่ให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
การที่มีสินค้าคงคลังน้อยเกินไปก็จะมีความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถดำเนินการตามออเดอร์ของลูกค้าได้ทัน ส่วนคลังสินค้าที่มีสินค้ามากเกินไปก็ทำให้เกิดต้นทุนและของเสียโดยไม่จำเป็นเช่นกัน ธุรกิจจึงจำเป็นต้องใช้วิธีในการเติมสินค้าในคลังสินค้าที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้าของตนเองให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น การเติมสินค้าในคลังสินค้าสำหรับการจัดการซัพพลายเชนคืออะไร? ทาง Locad Thailand มีรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนหลักในกระบวนการซัพพลายเชนมาให้ทุกท่านได้ทราบกันค่ะ
แล้วการเติมเต็มคลังสินค้าคืออะไรหล่ะ?
การเติมสินค้าในคลังสินค้าจะกำหนดขั้นตอนในการเติมสินค้าเข้าไปในคลังจากแหล่งสินค้าภายนอกหลายแห่ง การเติมสินค้าในคลังสินค้าโดยทั่วไปแล้วจะทำงานระหว่างบริษัทกับผู้ขายหรือซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้อง โดยปกติจะเป็นกระบวนการสั้นๆ ที่มีไม่กี่ขั้นตอน ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายหรือซัพพลายเออร์ของบริษัทนั้น ๆ
คำจำกัดความของการเติมสินค้าคงคลัง
การเติมสินค้าคงคลังดูเผิน ๆ อาจจะเหมือนเป็นการเติมสินค้าในคลังสินค้าแบบทั่วๆ ไป แต่ความจริงแล้วในสองกระบวนการนี้ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย การเติมสินค้าคงคลัง หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการเติมสต็อก หมายถึงการย้ายสินค้าคงคลังจากสถานะสำรองไปยังที่จัดเก็บหลัก หรืออธิบายง่ายๆ จะหมายถึงการเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังที่มีการควบคุมและสม่ำเสมอในซัพพลายเชนไปยังสถานที่ที่ต้องการสินค้าคงคลังให้เพียงพอในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ประโยชน์ของระบบการเติมสินค้าในคลังสินค้า
ในการเติมสินค้าในคลังสินค้าที่ดีที่สุดจะต้องสามารถรับประกันการทำงานของซัพพลายเชนของธุรกิจให้ราบรื่น ไม่ติดขัด แล้วเพราะอะไรธุรกิจจึงควรใช้บริการการเติมสินค้าในคลังสินค้า วันนี้ Locad มีคำตอบให้กับคุณ
1.ช่วยระบุด้านที่ต้องปรับปรุง
การปรับระบบการจัดการคลังสินค้าให้เข้ากับธุรกิจนั้น ๆ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดพื้นที่ในการปรับปรุงคลังสินค้าได้ เช่น การจัดเก็บสินค้า การเคลื่อนย้ายสินค้า เป็นต้น
2.ลดเวลาในการบริหารจัดการ
กระบวนการเติมสินค้าในคลังสินค้าที่ปรับให้เหมาะสมแล้วนั้น จะนำไปสู่ขั้นตอนแบ็คเอนด์ที่ปรับให้เข้ากับธุรกิจ และลดเวลาสำหรับงานธุรการที่มีจำนวนมากเกินรับไหว
3.มีความยืดหยุ่นและสามารถควบคุมได้
ระบบการจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติจะให้ความยืดหยุ่นและการควบคุมการติดตามคลังสินค้าเป็นอย่างมาก ช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่สิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ การปรับปรุงกระบวนการเติมเต็ม เป็นต้น
4.ทำงานตามความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี
การคาดการณ์ความต้องการเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำในการเติมสินค้าในคลังสินค้า การมองเห็นและเข้าถึงคลังสินค้ากับสินค้าคงคลังที่ดีขึ้นจะช่วยให้บริษัทตอบสนองความต้องการของตลาดได้สะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น ธุรกิจสามารถเพิ่มหรือลดขนาดคลังสินค้าได้ตามความเหมาะสม
5.ป้องกันสินค้าล้นสต๊อก
การเติมสินค้าในคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจหลีกเลี่ยงการจัดเก็บสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็นและไม่ต้องการได้ แล้วถ้าหากสินค้าคงคลังเกิดการเน่าเสียได้ง่าย อาจทำให้สินค้าที่คงคลังของคุณอยู่นั้นล้าสมัยและขายไม่ออก ทำให้เกิดโอกาสในการสูญเสียเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วที่แย่ไปกว่านั้นในการสต๊อกสินค้ามากเกินไปยังทำให้ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเพิ่มขึ้นอีกด้วย
6.ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
การใช้ประโยชน์จากการเติมสต็อคช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ได้ การมีบริการเติมสินค้าที่ดีพร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพื้นที่จัดเก็บ สามารถช่วยให้ธุรกิจหลีกเลี่ยงการเร่งรีบในนาทีสุดท้ายและการแย่งชิงเพื่อดำเนินการตามออเดอร์ของลูกค้าให้ทันท่วงที
พื้นฐานของการเติมเต็ม
การเติมสินค้าเป็นหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญของการจัดซื้อสินค้า ถึงแม้ว่าการเติมสินค้าในคลังสินค้าจะช่วยให้บริษัทเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชนในทิศทางที่เป็นบวก แต่ก็จะมีองค์ประกอบพื้นฐานเฉพาะที่สามารถเข้ามาช่วยให้ธุรกิจใช้วิธีการที่ดียิ่งกว่าในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
- การคาดการณ์ความต้องการ: เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่มีอิทธิพลมากที่สุดของการเติมเต็ม ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วด้วยการอัปเดตการคาดการณ์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้บริษัทสามารถเปิดเผยความแปรปรวนของอุปสงค์ตัวสินค้าในตลาดปัจจุบัน และเพิ่มความแม่นยำของสต็อก หากเกิดความแปรปรวนฉุกเฉินขึ้น การคาดการณ์ความต้องการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยประสานการทำงานของร้านค้าและตลาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ นำไปสู่การสั่งการเติมสินค้าที่ถูกต้องได้ในขั้นต่อไป
- การคาดการณ์ระยะเวลารอคอย: เวลาดำเนินการ หมายถึงจำนวนวันทั้งหมดที่ต้องใช้ระหว่างการวางออเดอร์และการทำใบเสร็จรับเงิน การคาดการณ์ระยะเวลารอคอยเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กับการคาดการณ์ความต้องการ เพราะการคาดการณ์เวลารอคอยจะช่วยให้เข้าใจเวลาที่จำเป็นสำหรับออเดอร์ที่กำลังจะมาถึงเพื่อให้จัดการเวลาได้อย่างถูกต้องตามที่ควร ซึ่งการคาดการณ์ที่แม่นยำยังสามารถลดความแปรปรวนของระยะเวลารอคอยสินค้าและปรับปรุงบริการและการขายได้อีกด้วย
- การวิเคราะห์รอบการสั่งซื้อ: ระยะเวลาระหว่างการรับสินค้าจะเรียกว่ารอบการสั่งซื้อ สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจกำหนดจำนวนสินค้าที่จำเป็นในการจัดเก็บหรือเก็บรักษาไว้จนกว่าจะได้รับในครั้งต่อไป
- การวิเคราะห์เป้าหมายในระดับการบริการ: การปฏิบัติตามข้อกำหนดของผู้ขายที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความแปรปรวนของระยะเวลารอคอยสินค้าให้น้อยที่สุด ธุรกิจต้องการวิธีที่จะชดเชยความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป้าหมายระดับการบริการที่สูงขึ้นจะนำไปสู่โอกาสในการขายที่มากยิ่งขึ้นในอนาคต
- คำสั่งซื้อพิเศษ: คำสั่งซื้อพิเศษคือคำสั่งซื้อเพิ่มเติมที่ธุรกิจต้องการนอกเหนือจากการเติมสินค้าตามปกติเพื่อให้ตอบสนองความต้องการได้อย่างทันท่วงที ซึ่งคำสั่งซื้อพิเศษนี้ยังรวมถึง คำสั่งซื้อเฉพาะสำหรับกิจกรรมส่งเสริมการขาย การขาย การเปิดร้านใหม่ หรือการโอนสต็อกส่วนเกินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่มีพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเติม หากมีทีมที่จะช่วยเติมสินค้าอย่างประสิทธิภาพ ธุรกิจจะสามารถหาทางออกจากการที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นที่ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกระบวนการของต่างๆ
- ความถูกต้องของใบสั่ง: จะเป็นกฎในการสั่งซื้อที่กำหนดโดยซัพพลายเออร์และผู้ขาย การบรรทุกบนรถบรรทุก การแพ็คกล่อง ชั้นหรือพาเลท การขนส่งสินค้าหรือการสั่งซื้อขั้นต่ำ การสั่งซื้อสูงสุด ฯลฯ จะอยู่ภายใต้ความถูกต้องของการสั่งซื้อ โซลูชันการเติมเต็มที่เหมาะสมที่สุดจะมอบผลตอบแทนที่เต็มไปด้วยผลกำไรให้แก่ธุรกิจของคุณ เมื่อได้ใช้การวิเคราะห์การเติมสินค้า ธุรกิจจะสามารถพัฒนากลยุทธ์การส่งเสริมการขาย ราคา และการจัดประเภทของสินค้าได้อย่างไม่ติดขัด รอรับกำไรเน้น ๆ ได้เลย
วิธีการเติมคลังสินค้า
ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการที่หลากหลายในการทำงานออกมาให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของธุรกิจ แต่ตัวธุรกิจเองก็สามารถเลือกใช้วิธีเติมสินค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจของท่านเองได้
โดยวิธีการเติมสินค้าในคลังสินค้าที่น่าสนใจ ได้แก่:
- วิธีจุดสั่งซื้อใหม่ – เมื่อสินค้าเฉพาะในสินค้าคงคลังลดลงถึงจุดเกณฑ์ที่กำหนด วิธีจุดสั่งซื้อใหม่จะแจ้งเตือนให้เติมสินค้าเข้าไปทันที ธุรกิจสามารถสั่งซื้อสินค้าไว้ได้ก่อนที่สต็อกปัจจุบันจะลดลงต่ำกว่าระดับสต็อกที่ปลอดภัยขั้นต่ำ
- วิธีการเติมสต็อคเป็นระยะ – วิธีนี้ช่วยให้บริษัทสามารถตรวจสอบระดับสินค้าคงคลังตามช่วงเวลาที่กำหนดแทนการเติมสินค้าตามปกติได้ ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มักจะใช้การเติมสต็อกเป็นระยะโดยจะขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ความต้องการ ความเสี่ยงต่ำของสินค้าหมด และความจุของคลังสินค้า
- วิธีปิดยอด – วิธีนี้ช่วยให้สามารถหยิบสินค้าในช่วงเวลาหยุดทำงานหรือช่วงเวลาที่ช้าได้ วิธีนี้เป็นที่ผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกนิยมทำกัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะระบายสต๊อกได้อย่างรวดเร็ว
- วิธีการตามความต้องการ – วิธีนี้จะใช้งานตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งบางธุรกิจเลือกที่จะเติมสินค้าตามออเดอร์ปัจจุบันเท่านั้น และนี่ทำเพื่อให้แน่ใจว่ามีสต็อกเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์หลักในการเติมสต็อกในคลังสินค้า
สิ่งที่ธุรกิจทุกประเภทต้องการสูงสุดก็คือกำไร อย่างนั้นแล้วการที่ธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนจะทำให้ธุรกิจของคุณนั่นไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการเติมสินค้าในคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายสูงสุดคือการป้องกันไม่ให้สินค้าขาดสต็อกและไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนการสั่งซื้อให้เสร็จสมบูรณ์ได้
เราสามารถช่วยคุณปรับกลยุทธ์การเติมสินค้าในคลังสินค้าสามารถให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้ Locad Thailand ขอนำเสนอสามวิธีหลักที่ธุรกิจสามารถป้องกันสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับการเติมสินค้า
1.การเติมสต็อกตามความต้องการ
การจัดเรียงสินค้าที่เป็นแบบรายวันไว้บนชั้นหยิบสินค้า ทำให้เติมสต็อคตามความต้องการได้ กลยุทธ์นี้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อมีการเตรียมคำสั่งซื้อตามการเลือกหยิบแบบคลื่น การเติมสต็อกตามความต้องการจะปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของตลาด
2.การเติมสต็อกขั้นต่ำ
กลยุทธ์นี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยในการเติมคลังสินค้าเมื่อถึงระดับสินค้าคงคลังขั้นต่ำและจำเป็นมาก ๆ เท่านั้น ขั้นตอนนี้ช่วยลดการเดินทางเพื่อไปเติมสต็อก ปริมาณของเสียต่ำมากหรืออาจไม่มีเลย แต่อาจมีต้นทุนการขนส่งเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย
3.การเติมเต็มแบบ Lean Time
วีธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถหลีกเลี่ยงขั้นตอนการเติมสต็อกก่อนที่จะแยกสินค้าที่มีอยู่ เป็นวิธีที่มีความยืดหยุ่นสูงซึ่งส่งผลต่อเวิร์กโฟลว์โดยรวม จะใช้ประโยชน์จากความผันผวนของซัพพลายเชนในการติดตั้งหรือเติมสต็อกของชั้นหยิบสินค้าที่มีการหมุนเวียนจำนวนมาก ให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการเติมสินค้าในคลังสินค้า
กลยุทธ์การเติมสินค้าที่มีประสิทธิภาพช่วยให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการเติมสินค้าในคลังสินค้าของธุรกิจได้ตามที่ต้องการ ทาง Locad มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเติมสินค้าในคลังสินค้าให้เป็นไปอย่างราบรื่น :
- การตรวจสอบและปรับแนวทางการเติมสินค้าอย่างต่อเนื่อง: ธุรกิจสามารถวิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจในข้อมูลหรือออเดอร์ และนำแนวทางวิธีการเติมเต็มมาตรวจสอบข้อมูลอย่างต่อเนื่องได้อีกในอนาคต
- การกำหนดกลยุทธ์การเติมสินค้าที่มีประสิทธิภาพ – กลยุทธ์การเติมสินค้าจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ โดยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น ขนาด ผลิตภัณฑ์ ฯลฯ ดังนั้น ในการเติมสินค้าแต่ละรายการจึงจำเป็นต้องปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของคลังสินค้าและซัพพลายเชนโดยรวม
- การใช้ข้อมูลการเติมสินค้า – วิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงการจัดการคลังสินค้าคือการประเมินจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น และปรับปรุงการจัดการการเติมสินค้าได้อย่างแม่นยำขึ้น
- การพัฒนาการมองเห็นแบบ end-to-end ที่ดีขึ้น – การจัดการคลังสินค้าหรือสินค้าคงคลังเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยจุดที่แวะพักหลายจุดและผู้คนที่เกี่ยวข้องในการทำงาน
- ดังนั้น เพื่อให้มีกลยุทธ์การเติมสินค้าที่เหมาะสม จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำให้การสื่อสารและการจัดระเบียบนั้นตรงกันกับทุกทีมที่เกี่ยวข้อง การมีแนวทางที่ดีนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมที่จำเป็นในการทำความเข้าใจและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติมสินค้าในคลังสินค้า
รู้หรือไม่ว่าการเลือกรูปแบบการเติมสินค้าให้เหมาะกับธุรกิจจะทำให้การจัดการคลังสินค้าน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ธุรกิจควรระวังเอาไว้ อาจส่งผลต่อขั้นตอนการเติมสินค้าได้
สิ่งที่ควรต้องระวังคือ :
- การพยากรณ์ที่ไม่ถูกต้อง – ความไม่แน่นอนในการพยากรณ์ จะทำให้ธุรกิจตอบสนองได้แย่ลง หรืออาจเกินกว่าความต้องการที่คาดไว้ ซึ่งส่งผลต่อการเติมสินค้าในคลังสินค้าเป็นอย่างมาก อาจทำให้ต้องเสียเงินมากขึ้นอีกด้วย
- ความล้มเหลวในการเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่จัดเก็บ – หากคลังสินค้าไม่ได้ปรับให้เหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร จะส่งผลเสียต่อระดับสินค้าคงคลัง อาจนำไปสู่การสต๊อกสินค้ามากเกินไปและการสูญเสียมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเติมสินค้าเช่นเดียวกัน
- การมีทัศนวิสัยที่ไม่ดี – การมองเห็นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางในซัพพลายเชนเป็นสิ่งสำคัญในการรับรองประสิทธิภาพของการดำเนินการตามคำสั่งซื้อของบริษัท การขาดการสื่อสารหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องส่งผลเสียต่อห่วงซัพพลายเชนโดยรวม ทำให้เกิดการเติมเต็มที่ล่าช้าพร้อมกับเกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีกมากมาย
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเติมสินค้า
Locad Thailand จะมาแชร์เคล็ดไม่ลับสำหรับกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลสำหรับการเติมสินค้าในคลังสินค้า
- การใช้ระบบการจัดการคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ – ในยุคสมัยนี้การจัดการแบบเรียลไทม์สามารถเข้าถึงและสั่งซื้อได้โดยอัตโนมัติตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้เพื่อให้แน่ใจว่าคลังสินค้าและสินค้าคงคลังเสถียรภาพมากพอ ทำให้ธุรกิจดำเนินกระบวนการเติมเต็มได้อย่างราบรื่น
- วิเคราะห์การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ – การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ช่วยให้ธุรกิจประเมินจำนวนยอดขายทั้งหมดต่อวันตามความต้องการและฤดูกาลได้
- ตรวจสอบสินค้าคงคลังที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว – หากมีสินค้าบางรายการที่มีสินค้าคงคลังที่มีความต้องการที่ชัดเจน การเติมสินค้าคงคลังโดยตรงจากสถานที่ที่รับสินค้าจะปลอดภัยกว่า การที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องก็ช่วยให้มั่นใจได้ถึงปริมาณสต็อกที่ถูกต้องทุกครั้งอีกด้วย
- เพิ่มความแม่นยำในการหยิบสินค้า – การใช้ระบบอัตโนมัติช่วยหยิบสินค้า ช่วยให้มีข้อผิดพลาดน้อยลง การทำให้ระบบการจัดการคลังสินค้าทั้งหมดเป็นอัตโนมัติช่วยขจัดปัญหาการเติมสินค้า หมดกังวลกับจุดๆ นี้ไปได้เลย
- กำหนดตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักที่สมจริง (KPI) – KPI ที่สมจริงสามารถวิเคราะห์ตัวเลขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้นอีกด้วย
แผนการเติมเต็มฉุกเฉิน
ด้วยเครือข่ายที่ซับซ้อนจำนวนมากที่ทำงานร่วมกันในกระบวนการจัดการคลังสินค้า เหตุฉุกเฉินเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าจะมีระบบการจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพก็ตาม ธุรกิจจึงต้องวางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินด้วยเช่นกัน กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการจัดการการเติมเต็มฉุกเฉินคือการเตรียมแผน “ถ้าแล้ว” ในกรณีของสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โซลูชั่นที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าจะช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าและทรัพยากร และป้องกันไม่ให้เหตุฉุกเฉินเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น
บทสรุป
กระบวนการเติมสินค้าในคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจ ผู้ขาย และซัพพลายเออร์มีปริมาณสินค้าคงคลังที่แน่นอนหรือตามที่ต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการในการสั่งซื้อ
ลดสต็อกส่วนเกินให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งระบบอัตโนมัติจากทาง Locad จะช่วยให้ธุรกิจจัดการความซับซ้อนได้ง่ายขึ้น สามารถเพิ่มผลผลิตและทำกำไรควบคู่กันไปด้วย ไม่ต้องเสียแรงแถมยังมีเวลาว่างไปเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้อีกต่างหาก คุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้วจริง ๆ ค่า
ให้ Locad เป็นตัวช่วยในการทำธุรกิจของคุณยกระดับขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด