หากจะดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องหาวิธีจัดการกับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่เหมาะสม
การจัดการสินค้าคงคลังมีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก การจัดการสต็อกสินค้าและการคิดกำไรขั้นต่ำของธุรกิจ และแน่นอนว่ามันจะมีปัญหาที่เกี่ยวข้องมาให้คุณแก้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องสต๊อกขาด ของไม่พอขาย หรือสต๊อกบวม ของล้น เป็นต้น
หากมีสินค้าคงคลังมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะไม่มีผลอะไรกับการลดภาษี แต่คุณควรระมัดระวังเรื่องเวลา และการประเมินมูลค่าของสินค้าคงคลังเพราะมันมีผลต่อรายได้ของคุณ ธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่มีงบประมาณจำกัด
ต้องหาสมดุลระหว่างสต็อกสินค้าที่ไม่เพียงพอและสต๊อกสินค้าที่มากจนเกินไป
ภาษีของสินค้าคงคลัง คืออะไร?
ภาษีสินค้าคงคลัง หรือ Inventory taxes ถูกจัดกลุ่มไว้กับภาษีที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน เป็นภาษีที่เรียกเก็บ ณ วันที่ทางแบรนด์ได้ปิดบัญชีสำหรับสินค้าที่ขายไม่ออก ซึ่งจะต้องเสียภาษีสำหรับสินค้าในสต๊อกในประเภท
เดียวกับ เครื่องมือเครื่องใช้ และอุปกรณ์ต่างๆ ของธุรกิจนั่นเอง
เมื่อสินค้าขายไม่ออก ต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจก็เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โควิดระบาด
คุณจะถูกเก็บภาษีจากจำนวนสินค้าคงคลัง เรามาทำความรู้จักกับ Internal Revenue Service (IRS) วิธีการสามวิธีในการประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังกันเถอะ
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย
กำหนดโดยการเพิ่มราคาซื้อของคุณเข้ากับค่าจัดส่ง ต้นทุนหรือมูลค่าตลาดที่ต่ำกว่าจะพิจารณาจากการเปรียบเทียบราคาที่คุณใช้สำหรับผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ กับอัตราตลาด ณ วันที่ประเมินราคาที่กำหนด
การค้าปลีก
ในการกำหนดภาษี จะหักเปอร์เซ็นต์จากจำนวนสินค้าที่เกินกำหนดจากราคาขาย หากคุณมีสินค้าคงคลังจำกัด
และขนาดเล็ก ซึ่งคุณจะกำหนดเงื่อนไขของต้นทุนได้ง่ายขึ้น พฤติกรรมการค้าของคุณจะสร้างเทคนิคการคำนวณ
ที่เหมาะสมที่สุด
มูลค่าของสต๊อกจะถูกกำหนดโดยการดูแลรักษาสินค้าในคลัง และอัตราเงินเฟ้อและปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็ผลต่อประเมินราคาสินค้าอีกด้วย
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีของสินค้าคงคลัง
ภาษีสินค้าคงคลังเป็นภาษีทรัพย์สินตามมูลค่าสินค้าคงคลัง และโดยทั่วไปจะจัดประเภทเป็นภาษีทรัพย์สินส่วนบุคคลที่จับต้องได้ทางธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องมือเครื่องใช้สำนักงาน ระบบต่างๆ และเครื่องตกแต่ง
การจัดการสินค้าคงคลังจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของบริษัท ไม่เพียงแต่ในการจัดซื้อวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และต้นทุนคลังสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ของ Tax season หรือ ระยะเวลาที่ให้เราแจกแจงรายได้ทั้งหมดที่เราได้รับระหว่างปีภาษีนั้นๆ ด้วย
ภาระภาษีสินค้าคงคลัง เช่น ภาษีการขายและจุดเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ จะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค และอาจขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สต็อกถูกเก็บไว้ที่นั่น ไม่ว่าจะส่งออกไปนอกพื้นที่หรือจัดเก็บไว้ใน 3PL หรือโรงงานของบุคคลที่สามอื่นๆ และในบางพื้นที่ รวมถึงสินค้าคงคลังของงานระหว่างดำเนินการ (WIP)
วิธีการประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง ?
First In, First Out (FIFO) และ Last In, First Out (LIFO) เป็นสองวิธีพื้นฐานสำหรับการประเมินมูลค่าสินค้า
คงคลัง วิธีการทั้งสองนี้จะอธิบายการจัดการสินค้าในสต๊อก และยังมีอิทธิพลต่ออัตราภาษีของสินค้าคงคลังอีกด้วย
First In, First Out (FIFO) เข้าก่อน ออกก่อน
หลายๆ ธุรกิจนิยมใช้วิธีการจัดการสินค้าคงคลังรูปแบบนี้ จะเรียงลำดับการนำสินค้าเข้าคลังตามชนิดและลำดับเวลา สินค้าที่เข้าคลังก่อน จะถูกจ่ายออกจากคลังสินค้าก่อนเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามาในระบบ สินค้าที่เข้ามาที่หลังจะถูกเก็บไว้ในคลังแล้วจ่ายออกเป็นลำดับสุดท้าย สต๊อกสินค้าสามารถสะท้อนสภาพวะเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจจะต้องวางแผนการจัดการสินค้าคงคลังให้รอบคอบ
เมื่อ Cost of Good Sold (COGS) หรือ ต้นทุนของสินค้าที่ขายออกจากคลังสินค้าลดลง กำไรและผลตอบแทนของธุรกิจจะเพิ่มขึ้น ทำให้คุณมีภาษีที่ต้องชำระมากขึ้นในปีนั้นๆ นั่นเอง
Last In, First Out (LIFO) เข้าที่หลัง ออกก่อน
การเก็บสินค้าที่กำลังจะหมดอายุไว้ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจของคุณ หนึ่งในวิธีจัดการสต๊อกสินค้าก็คือ Last In, First out (LIFO) สินค้าที่เข้าคลังก่อน จะถูกนำไปขายก่อนเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา
Cost of Good Sold (COGS) หมายถึง ต้นทุนของสินค้าที่ขายออกจากคลังสินค้า ระบบ LIFO ทำให้เกิดต้นทุนต่างๆ ตามมา เช่น ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการจจัดเก็บสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง COGS เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ COGS ที่สูงอาจะทำให้กำไรของธุรกิจลดน้อยลง และอาจะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในตลาดด้วย
ภาษีเงินได้มีผลกระทบอย่างไรกับธุรกิจของคุณ ?
การเก็บภาษีในพื้นที่ที่มีการเรียกเก็บภาษีจะส่งผลกระทบต่อการเงินของธุรกิจ เพราะไม่ว่าคุณจำได้กำไร หรือ ขาดทุนในปีนั้นๆ คุณก็จำเป็นต้องชำระภาษีเหมือนกับภาษีอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ สิ่งที่คุณต้องทำคือ วางแผนและควบคุมเรื่องการจัดการสต๊อกสินค้า กำหนดมูลค่าของสินค้าคงคลัง และกำหนดภาษีที่ธุรกิจต้องชำระ เรื่องภาษีอาจจะเป็นอะไรที่
ซับซ้อนสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีสินค้าในสต๊อกไม่มาก
เมื่อมีผู้ถือหุ้นลดลง อัตราส่วนหนี้ต่อส่วนของทุนจะเพิ่มขึ้น ทุนที่ลดลงอาจทำให้เกิดการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง
ในปัจจุบันและในอนาคตเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ลดลงจะทำให้รายได้สุทธิถูกแบ่งตามฐานทุนที่ลดลง อัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์จะมีค่ามากขึ้นเนื่องจากต้นทุนการเบี่ยงเบนลดลงในอนาคตเนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์ลดลง และโอกาสในการได้รับรายได้สุทธิในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้นนั่นเอง สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางนั้น การจัดการด้านสินค้าคงคลังและการคำนวณภาษีสินค้าคงคลังนั้นอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามาก โดยพวกเขามักมีสินค้าคงคลังน้อยกว่าและต้องชำระภาษีสินค้าคงคลังน้อยกว่าร้านค้าขนาดใหญ่ แต่ก็อาจไม่มีเครื่องมือในการจัดการสินค้าคงคลังและคำนวณภาษีสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ
Track Inventory Tax คืออะไร?
หากพูดถึงเรื่องภาษีของสินค้าคงคลัง Locad Thailand ขอเสนอ 3 วิธีในการจัดการภาษีของสินค้าคงคลัง เราจะใช้ราคาซื้อเป็นหลักในการประเมินราคาสินค้าคงคลังและสินค้าที่ธุรกิจไม่สามารถขายออกไปได้
การขาดทุน ทำให้เห็นว่าธุรกิจจะต้องเสียเงินเพื่อรับผิดชอบสินค้าในคลัง ถึงแม้ว่าสินค้าเหล่านั้นจะทำเงินให้คุณในอนาคตก็ตาม แต่ถ้าหากคุณเพิ่มราคาสินค้าขึ้น คนก็อาจจะไม่ซื้อ และรายได้และกำไรของคุณก็จะลดลง และก็ต้องเสียภาษีของสินค้าคงคลังในเวลาเดียวกัน
ประเมินตามราคาสินค้า
รายการสินค้าที่สั้งซื้อมาจะถูกประเมินตามราคาของสินค้าและค่าขนส่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและเหมาะสำหรับสินค้าที่ไม่มีค่าซ่อมแซม
ธุรกิจค้าปลีก
ธุรกิจค้าปลีก หรือ การขายสินค้าให้กัลผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้น สินค้าสำหรับธุรกิจค้าปลีกจะถูกขายในจำนวนที่น้อยกว่าสินค้าที่ขายในธุรกิจขายส่งหรือการผลิตสินค้าจำนวนมาก
ต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และ ความสามารถในการแข่งขันในตลาด
การประเมินมูลค่าด้วยวิธีนี้จะเทียบต้นทุนของสินค้ากับราคาของสินค้าตลาดในวันที่กำหนดไว้ จากนั้นก็จะบันทึกมูลค่าและของสินค้าในเวลานั้นๆ
วิธีการลดภาษีของสินค้าคงคลัง
เวลาคิดต้นทุนของสินค้า คุณจะต้องรวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ และภาษีของสินค้าคงคลังทั้งที่อยู่ในสต๊อกและขายไปแล้ว ซึ่งทำได้หลายวิธี เรามาลองดูตัวอย่างกันเถอะ
สต๊อกสินค้าไว้ในพื้นที่หรือคลังสินค้าที่ปลอดภาษี
วิธีนี้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมาและรับประกันการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย จากผลตอบรับของลูกค้า ทำให้เห็นว่ามันช่วยเพิ่มยอดขายได้ ลูกค้าสนใจโปรโมชั่นจัดส่งฟรีและดำเนินการจัดส่ง 2 วัน น
ที่ตั้งของโกตังหรือคลังสินค้าก็สำคัญเช่นเดียวกัน คุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เช่น การจัดส่งสินค้าใน 1-2 วันทำการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการจัดส่ง ผู้ค้าปลีกควรจัดเก็บสินค้าคงคลังให้ใกล้กับลูกค้าปลายทางให้มากที่สุดและให้ง่ายต่อการจัดส่งไปยังจังหวัดต่างๆ
ขายสินค้าก่อนคำนวนภาษี
หลายๆ ธุรกิจทำการขายสินค้าไปก่อน และค่อยมาคิดคำนวนภาษีรายปีเพื่อประหยุดเงิน แต่ถ้าหากธุรกิจของคุณมีสินค้าคงจำนวนน้อยจนเกินไป จะทำให้เกิดสินค้าขาดสต๊อก ไม่พอขาย พอความต้องการซื้อสินค้าในตลาดเพิ่มขึ้นและมีมากจนเกินไป ทำให้ราคาเเพงขึ้นตามไปด้วย ลูกค้าอาจจะไม่พอใจกับราคาและไว้ใจแบรนด์คุณน้อยลงนั่นเอง
สินค้าไหลเวียนช้า สต๊อกบวม สินค้าไม่ได้รับความนิยม
จะดูอย่างไรว่า สินค้าในสต๊อกของคุณไหลเวียนช้า? คุณสามารถสังเกตุได้จากเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจ หากจำนวนเงินหมุนเวียนน้อย ก็เเปลว่าสินค้าขายไม่ออกนั่นเอง ในขณะเดียวกันคุณจะต้องเสียเงินเพิ่มเติมในการจัดเก็บสินค้าในระยะยาว หากคุณมีวิธีในการลดภาษีในการจัดเก็บสินค้าคงคลังจะเป็นประโยชน์สูงสุดของธุรกิจคุณ
การจัดการสินค้าคงคลังคืออะไร?
การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory management) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับการนำสินค้าเข้าคลัง จัดการและจัดเก็บสินค้าไว้ในสต๊อกจนกว่าสินค้าจะะถูกขายออกไป ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญกับธุรกิจ กลยุทธ์และกิจกรรมของการจัดการสต๊อกสินค้าจะมุ่งเน้นไปที่จัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพและสะดวกต่อการใช้งานในกระบวนการคลังสินค้าและโลจิสติกส์
การให้ความสำคัญกับการติดตามสต๊อกสินค้าอย่างสม่ำเสมอช่วยสร้างความแม่นยำในการเก็บ-แพ็ค-ส่งสินค้า หมดปัญหาแพ็คและส่งผิด คุณสามารถวัดระดับสต๊อกสินค้าในคลังได้ ซึ่งช่วยให้คุณรู้ว่าตอนนี้สินค้ามีจำนวนเท่าใด หากสินค้ามีปริมาณน้อย กำลังจะหมด และจำนวนออเดอร์มีจำนวนมาก นั่นหมายความว่าสินค้ากำลังจะหมด คุณจะได้สั่งซื้อหรือสั่งผลิตสินค้ามาขายได้ทันเวลา นอกจากนี้การจัดการสินค้าคงคลังยังช่วยประหยัดต้นทุนในการจัดเก็บสินค้า และเพิ่มกำไรของธุรกิจให้สูงขึ้น
การรักษาระบบสต๊อกให้สมดุลเป็นสิ่งที่ท้าทายของธุรกิจ มีเทคนิคมากมายที่คุณสามารถใช้ควบคุมและจัดการสต๊อกสินค้าได้ ยกตัวอย่างเช่น Just-in-time (JIT) เป็นวิธีการจัดการสินค้าคงคลัง โฟกัสในเรื่องการจัดส่งสินค้าให้ตรงเวลา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้า ซึ่งสามารถทำได้โดยการปรับการผลิต การจัดซื้อ และการจัดส่งเพื่อให้สินค้ามาถึงที่จุดที่ต้องการในเวลาที่ต้องการ เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต
ตัวอย่างที่สอง Materials requirement planning (MRP) เป็นวิธีการจัดการสต๊อกสินค้าโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ มาช่วยในการวางแผนและควบคุม
ประโยชน์ของการจัดการสินค้าคงคลัง มีอะไรบ้าง?
- สร้างความแม่นยำให้กับสต๊อกสินค้า
การจัดการสต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้เก็บ-แพ็ค-ส่งสินค้าได้ง่าย รวดเร็วขึ้นและอม่นยำคุณสามารถเช็คสต๊อกให้สมดุลกับความต้องการซือของลูกค้าได้
หากธุรกิจมีการจัดการสต๊อกที่แม่นยำมากขึ้น จะสามารถประหยัดเงินค่าจัดเก็บสินค้าและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- ประหยัดค่าใช้จ่าย
ระบบการจัดการสต๊อกช่วยป้องกันความผิดพลาดและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ป้องกันการจัดเก็บสินค้าที่มากเกินความต้องการของผู้บริโภคในตลาด
การจัดเก็บสินค้าเกินจำนวนอาจทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เนื่องจากคุณจะต้องเช่าพื้นที่คลังสินค้าเป็นรายสัปดาห์ เดือนหรือรายปีนั่นเอง อีกทั้งยังมีค่าบำรุงรักษา ค่าจ้างพนักกงาน และค่าบริการด้วย เรามาลองดูกันว่าค่าใช้จ่ายที่คุณต้องเสียหากดำเนินการ Fulfillment ด้วยตนเองและมีสินค้าในคลังมากจนเกินความจำเป็น
- ค่าจ้างคนงานในคลังสินค้า: พนักงงานจะต้องจัดการ จัดเก็บ และแพ็คสินค้าตามคำสั่งซื้อ
- ค่าระบบความปลอดภัย: เรียกอีกอย่างว่าค่าประกันภัยนั่นเอง ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการดำเนินการและรักษาความปลอดภัยในการดำเนินงานเก็บ-แพ็ค-ส่งสินค้านั่นเอง
- ค่าขนส่ง: การมีสินค้าเกินจำนวนอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูงขึ่นเมื่อเคลื่อนย้ายสินค้าไปยังหรือจากสถานที่จัดเก็บสินค้า
- สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ระบบจัดการสต๊อกให้เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ หากคุณสามารถแพ็คและจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วและเเม่นยำได้ ความสัมพันธ์ของแบรนด์คุณและลูกค้าก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดี ลูกค้าไว้วางใจและเกิดการซื้อซ้ำ ซึ่งสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับธุรกิจ
- ความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ดีขึ้น
กลยุทธ์การจัดการสินค้าคงคลังที่ดีจะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของแบรนด์คุณและแหล่งจัดซื้อหรือแหล่งผลิตสินค้าให้ดียิ่งขึ้น และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
- อัพเกรดคุณภาพของสินค้า
เมื่อคุณมีการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ คุณจะสามารถอัพเกรดคุณภาพของสินค้าและระบบจัดการออเดอร์
หรือเพิ่มจำนวนสินค้าได้
- ระบบความปลอดภัยหนาแน่น
ระบบจัดการสินค้าคงคลังจะช่วยป้องกันการโจรกรรมหรือหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
วิธีการจัดการสินค้าคงคลังที่ดีสามารถช่วยลดภาษีของสต๊อกสินค้าได้
การเสียภาษีเป็นช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดสำหรับเจ้าของธุรกิจ ระบบอัตโนมัติช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องนี้ได้เยอะมาก ระบบจะช่วยประเมินราคาสินค้าขาเข้าและขาออก มีสรุปรายงานยอดต่างๆ และทำให้การยื่นเอกสารเพื่อจ่ายภาษี
เป็นเรื่องที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลภายหลัง
การใช้ระบบจัดการออเดอร์อัตโนมัติจะช่วยให้การดำเนินการภายในคลังราบรื่นยิ่งขึ้น ตรวจสอบสินค้าขาเข้า
และออกเร็วขึ้น และดึงข้อมูลทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ เพื่อพร้อมยื่นภาษีง่ายนั่นเอง
เรามาลองดูวิธีจัดการระบบ เพื่อให้สามารถรายงานเรื่องภาษีให้กับธุรกิจของคุณได้
1. แยกสินค้า สต๊อกคนละที่
คุณจะสามารถติดตามสินค้าได้ง่ายขึ้น หากจัดเก็บสินค้าคงไว้ในที่เดียว แต่เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น การจัดการออเดอร์และสินค้าในคลัวก็จะยากและท้าทายมากยิ่งขึ้น พื้นที่ในคลังไม่พอ จนต้องสต๊อกสินค้าไว้หลายที่ ดังนั้นหากคุณมีระบบจัดการสต๊อกสินค้าที่สามารถติดตามและรายงานผลสินค้าในคลังทั้งหมดได้ก็จะดีต่อธุรกิจของคุณ
2. สังเกตสต๊อกสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
ระบบการจัดการสินค้าคงคลังช่วยให้คุณสามารถรายงานเรื่องภาษีได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง
ได้ตามวิธีการนำเขื้าสินค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณ เช่น Last In, First Out (LIFO) หรือ First In, First Out (FIFO) วิธีการเหล่านี้ส่งผลต่อการคำนวณภาษีที่คุณต้องชำระ ระบบยังช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ
การขายออนไลน์ และสามารถรายงานภาษีที่ครอบคลุม ให้คุณสามารถปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้อย่างถูกต้อง
ระบบจัดการสินค้าคงคลังช่วยให้ธุรกิจมีความอิสระ ในขณะที่ธุรกิจกำลังเติบโต ถึงเวลาที่คุณหรือทีมบัญชีจะต้องมาหา
วิธีลดต้นทุนให้ต่ำลง แทนที่จะต้องเสียเงินจ้างและฝึกอบรมพนักงานใหม่ ระบบจัดการสินค้าคงคลังช่วยลดค่าใช้จ่าย
ในส่วนนี้
3. กำหนด
เมื่อธุรกิจขยายตัวขึ้น จำนวนสินค้าในคลังก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะติดตามสินค้า
จำนวนมากที่เข้าและออกพร้อมๆ กัน การจัดการสินค้าแบบเก่าๆ อาจกลายเป็นวิธีที่ล้าสมัย ระบบจัดการสินค้าคงคลังแบบ
อัตโนมัติจะช่วยตรวจสอบสต๊อกสินค้า นับจำนวนสินค้าในคลังเพื่อให้คุณประเมินความต้องการของลูกค้าในตลาด
อีคอมเมิร์ซได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น หากพบเจอความผิดพลาด พนักงานในคลัง จะสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหา
ได้ทันที ซึ่งระบบอัตโนมัติจะรายงานผลได้เร็วกว่าระบบแมนนวลไม่ต้องมารอการเช็คสต๊อกและรายงาน สต๊อกสินค้า
ประจำปี ระบบอัตโนมัติจะเช็คว่าสินค้าสต๊อกตรงกับข้อมูลที่ลงทะเบียนในระบบหรือไม่ข้อมูลเหล่านี้จะเป็น ประโยชน์
อย่างยิ่ง ในช่วงฤดูการเสียภาษีทีมบัญชีสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อลดหย่อนภาษีของสินค้าคงคลังได้
ดังนั้นระบบจัดการสินค้าคงคลังจึงเป็นที่จำเป็นสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หากคุณจัดการสต๊อกและออเดอร์ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณ รวมทั้งป้องกันความผิดพลาดได้นั่นเอง
4. ปรับปรุงระบบจัดการสินค้าอยู่เสมอ
ระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพช่วยให้คุณสามารถติดตามสินค้าได้อย่างแม่นยำโดยอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ในระบบและสามารถจัดสรรต้นทุนจริงได้อย่างถูกต้อง หากคุณใช้ระบบจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยในการคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขายออก (Cost of Goods Sold หรือ COGS) ของคุณออกมาได้อย่างแม่นยำ
เพราะต้นทุนของสินค้าที่ขายออกไปเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อเก็บภาษีสินค้าคงคลังของธุรกิจคุณ การรักษาความแม่นยำของต้นทุนดังกล่าวจะช่วยประหยัดเงินให้กับคุณในระยะยาว
5. ติดตั้งระบบสั่งซื้อสินค้าอัตโนมัติ
ระบบการจัดการสินค้าคงคลังจะติดตามระดับสต๊อกและเช็คจำนวนสินค้าได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณประเมินความต้องการของผู้บริโภคในตลาดและวางแผนเพื่อสั่งซื้อสินค้าเพิ่มในอนาคต พร้อมทั้งกำหนดเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสั่งสินค้าด้วย
ระบบสินค้าคงคลังของคุณสามารถติดตามจำนวนสินค้าในแต่ละสถานที่และช่องทางได้ เมื่อระดับสินค้า
ในสถานที่ได้สถานที่ หนึ่งลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ระบบจะแจ้งเตือนให้คุณได้ทราบว่าสินค้าใกล้จะหมดแล้ว
ถึงเวลาเติมสต๊อกสินค้าแล้ว
นอกจากจะช่วยประหยัดงบแล้ว ระบบจัดการสินค้าคงคลังอัตโนมัติสามารถคำนวณจำนวนสั่งซื้อทางเศรษฐศาสตร์ (EOQ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหน่วยสินค้าที่เหมาะสมที่สุดที่ควรสั่งซื้อในแต่ละครั้ง เพื่อประหยัดงบประมาณในการสั่งซื้อ
ให้ได้มากที่สุด การคำนวณ EOQ เป็นการคำนวณต้นทุน ประสิทธิภาพของการจัดซื้อ และจัดจำหน่ายสินค้าอย่างตรงไป
ตรงมานั่นเองประหยัดต้นทุนให้กับธุรกิจ อีกทั้งช่วยให้การซื้อและการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพสูงสุด
6. เขียนบันทึก หรือรายงานสินค้าในคลังเพื่อลดหย่อนภาษี
หากคุณต้องการลดหย่อนภาษีสินค้าคงคลัง การเขียนบันทึกหรือรายงานสินค้าในคลังนั้นสำคัญ
มันจะช่วยให้คุณปรับปรุงการบริหารจัดการสินค้าเพื่อลดภาษีสินค้าคงคลังได้
สิ่งที่ควรระวังเมื่อเขียนบันทึกหรือรายงานสินค้าในคลังมีดังนี้
- บันทึกข้อมูลสินค้าให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถคำนวณภาษีสินค้าคงคลังได้อย่างถูกต้อง
- จำนวนสินค้าในคลัง
- ราคาทุนของสินค้า
- ค่าเสียหายในการเก็บรักษาสินค้า
- ตรวจสอบสินค้าในคลังว่าถูกต้องและสมบูรณ์หรือไม่
- นับสต๊อก
- ตรวจสอบความถูกต้องของราคาทุน
- เขียนรายงานภาษีสินค้าคงคลังตามกฎหมายท้องถิ่น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะยื่นภาษีสินค้าคงคลัง
แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ไล่ดูความผิดพลาดจากข้อมูลที่ระบบได้บันทึกไว้ เพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดการสินค้าคงคลังให้ดียิ่งขึ้น
บทสรุป
ภาษีสินค้าคงคลังเป็นการเรียกเก็บภาษีของสินค้าที่อยู่ในคลังช่วงสิ้นปี ยังไม่ถูกขายออกไป การจ่ายภาษีให้ประโยชน์
กับธุรกิจในด้านการเงิน การหักค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังหรือการลดราคาสินค้าคงคลังที่ไม่ได้ขายในปีสิ้นปี อาจช่วยลดภาษีที่ต้องชำระลงได้ การจัดการภาษีสินค้าคงคลังให้ถูกต้องและประสบความสำเร็จจะช่วยประหยัดเวลา
และเงินทุน การปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังและการนำเสนอข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องสามารถช่วยลด
ความผิดพลาดที่อาจเกิดจากสินค้าที่ขาดหายไป ในท้ายที่สุด การใช้วิธีการที่เหมาะสมในการจัดการภาษี
สินค้าคงคลังสามารถช่วยให้คุณรันธุรกิจได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามกฏหมาย